English Deutsch Français Italiano Español Português 繁體中文 Bahasa Indonesia Tiếng Việt ภาษาไทย
หมวดหมู่ทั้งหมด

ช่วยบอก รสชาด และ คุณค่าด้วยครับ
ผมชอบทานกล้วยจะได้เลือกทานให้
ได้ประโยชน์

2007-12-30 13:45:56 · 1 คำตอบ · ถามโดย Nick 6 ใน อาหารและเครื่องดื่ม อื่นๆ เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม

1 คำตอบ

กล้วยมีมากมายหลายชนิด
กล้วยกุ้งเขียว กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยครั่ง กล้วยนาก กล้วยหอมแกรนด์เนน กล้วยหอมเขียว กล้วยหอมเขียวค่อม กล้วยหอมทอง กล้วยกล้าย กล้วยขม กล้วยไข่โบราณ กล้วยงาช้าง กล้วยนมสวรรค์ กล้วยนมสาว กล้วยน้ำกาบดำ กล้วยน้ำฝาด กล้วยนิ้วจรเข้ กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยไข่ กล้วยไข่ทองเงย
กล้วยทองร่วง กล้วยน้ำไท กล้วยน้ำนม กล้วยเล็บมือนาง กล้วยสา กล้วยหอมจันทน์ กล้วยตีบ กล้วยนมหมี กล้วยนางพญา กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าเขียว กล้วยน้ำว้าค่อม กล้วยน้ำว้าดำ กล้วยน้ำว้านวล กล้วยน้ำว้าลูกไส้ดำ กล้วยพม่าแหกคุก กล้วยส้ม กล้วยหักมุก กล้วยหิน กล้วยตานี กล้วยเทพรส กล้วยนวล กล้วยบัวสีชมพู กล้วยบัวสีส้ม กล้วยผา
กล้วยรุ่งอรุณ กล้วยเล็บช้างกุด กล้วยหก กล้วยมัน กล้วยไร่ กล้วยสามเดือน กล้วยหลวง กล้วยขี้แมวหาดใหญ ่กล้วยป่าใบกระ กล้วยป่าใบไม่กระ กล้วยป่ามาเลเซีย กล้วยหวานทับแม้ว
รายละเอียดกล้วยต่างๆเข้าไปอ่านดูได้ที่นี่ค่ะ http://www.doae.go.th/Library/html/detail/banana/index1.html

แต่ขอยกตัวอย่างที่พบทั่วไปดังนี้
กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิด เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำไท กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยไข่ กล้วยตานี กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยส้ม กล้วยนาค กล้วยหิน กล้วยร้อยหวีหรือกล้วยงวงช้าง

-กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ที่มีให้รับประทานตลอดทั้งปี ราคาถูก ให้พลังงานใกล้เคียงกับกล้วยไข่ ทั้งยังช่วยรักษาโรคท้องเสียและท้องผูกด้วย
กล้วยน้ำว้าดิบ บรรเทาอาการท้องเดินชนิดไม่รุนแรงได้ค่ะ เพราะมี สานแทนนิน ที่มีรสฝาด ตามตำราโบราณบอกไว้ว่า ให้รับประทานกล้วยน้ำว้าห่ามๆ ครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ ให้นำกล้วยน้ำว้าดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงแล้วนำมาชงน้ำร้อนดื่มก็ได้ผลเช่นกันค่ะ
ส่วนกล้วยน้ำว้าสุก ให้ผลในทางกลับกันค่ะ คือมีฤทธิ์เป็นยาระบาย เพราะมี สารเพกทิน ที่เป็นเมือกลื่นอยู่สูง จะรับประทานเปล่าๆ หรือดองในน้ำผึ้งรับประทานก่อนนอนก็ได้ค่ะ

-กล้วยป่า (Musa acuminata) กล้วยป่ามีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลมีขนาดเล็กไม่มีเหลี่ยมปลายมน เปลือกบางสีเขียวอมเหลือง เนื้อสีเหลืองรสหวานหอม มีเมล็ดมาก

-กล้วยตานี (Musa balbisiana) มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย หรือเอเชียใต้ ผลมีเม็ดเยอะไม่นิยมนำมากิน ปลีใช้ปรุงอาหาร (เป็นปลีที่อร่อยกว่ากล้วยใด ๆ) เหง้าใช้ทำแกงคั่วได้ ผลอ่อนมีรสฝาดนิดหน่อย ใช้เป็นเครื่องเคียงของเมี่ยงอิสาน หรือ แกงกับมะเฟืองเปรี้ยว หรือเผาแล้วลาบกับนกเขาก็อร่อยดี หรือจะสับเป็นเส้นแล้วตำปลาร้า ใส่มะขามเปียกเยอะๆ ก็อร่อยใช้ทำส้มตำ แต่ต้องเลือกลูกที่ผ่าออกมาแล้วเม็ดเป็นสีขาวถึงจะอ่อนจริง ผลแก่ใช้นำมาทำน้ำส้ม ไม่นิยมกิน

-กล้วยหักมุก ผลสุกรสหวานอร่อย นิยมนำมาปิ้งทานค่ะ
สรรพคุณของกล้วยหักมุกและวิธีใช้
1. กล้วยหักมุกมีสรรพคุณ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุท้องเสีย กล้วยมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียได้แก่ เอสเคอริเคีย โคไล (Escherichia coli)
2. ในกล้วยจะมีสาร tannin ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้
3. กล้วยหักมุกมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะ เมื่อทดลองให้หนูขาวกิน aspirin แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้ เมื่อกินผงกล้วยดิบในขนาด 5 กรัม และรักษาแผลที่เป็นแล้วในขนาด 7 กรัม สารสกัดมีฤทธิ์เป็น 300 เท่า ของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยเพิ่มเมือกและเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างมาโครเซลล์ (macrophage cell) อันส่งผลไปถึงการรักษาแผลได้อีกด้วย
4. สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะ คือสารที่เรียกว่า ไซโตอินโดไซด์ วัน, ทู, ทรี, โฟ และไฟว์ (sitoindoside I, II, III, IV, V) สารที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านการเกิดแผลในหนูที่เป็นแผลในกระเพาะ คือ ไซโตอินโดไซด์โฟ (sitoindoside IV) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากแผลในกระเพาะอาหาร
มีคำแนะนำในการใช้กล้วยรักษาอาการแน่นจุกเสียด ให้นำผลกล้วยดิบ หรืออาจใช้ผลกล้วยดิบที่ฝานบางๆแล้วตากแห้ง และบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยแล้วนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสม ใช้รับประทานเพื่อรักษาอาการแน่น จุกเสียด หรือหากมีอาการท้องเสียก็ใช้ได้เช่นกัน

-กล้วยเล็บมือนาง
เครือผลเล็ก และมีขนสีน้ำตาลปกคลุมตามก้านเครือและก้านหวี ผลเรียว เมื่อสุกมีสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่น รสหวานหอมคล้ายกล้วยหอม นิยมกินผลสุกหรือทำเป็นกล้วยตาก ปลูกได้ทุกภาค และโดยเฉพาะภาคใต้ที่จังหวัดชุมพร กล้วยเล็บมือนางของชุมพรรสชาติดีที่สุด ใครมาเที่ยวชุมพรก็คงเห็นกล้วยเล็บมือนาง และมีขายกันเกือบทุกหนแห่ง และถ้าเข้าไปในเขตเมือง หรือตามตลาดสด ก็จะเห็นกองขายอยู่มากมาย
กล้วยเล็บมือนาง ลักษณะผลจะเรียวเล็กคล้ายนิ้วมือสุภาพสตรี เนื้อสีเหลือง รสหวาน ผลไม่ใหญ่นักแต่มีกลิ่นคล้ายกล้วยหอม และมีรสชาติหวานทั้งกลิ่นและรสหวานจะมีลักษณะเฉพาะตัว บางคนบอกว่าหวานแบบฉุนเล็กน้อย บางคนก็บอกว่าหวานหอม
กล้วยเล็บมือนาง เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและให้พลังงาน มีสารอาหารที่สำคัญ ได้แก่คาร์โบไฮเดรต วิตามินและเกลือแร่ กล้วยเล็บมือนางสุกให้รสชาติดี เนื้อนุ่มรสหวานและมีกลิ่นหอม กล้วยเล็บมือนางสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติต่างไปจากกล้วยสุก เช่น ผลิตภัณฑ์ผลไม้แผ่นและอบแห้ง

-กล้วยไข่ ให้พลังงานมากที่สุดในบรร***ล้วยทุกชนิด คือ 140 แคลอรี่ จากปริมาณ 100 กรัมที่รับประทาน ทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คือ เบต้าแคโรทีน มากที่สุดซึ่งมีถึง 492 มิลลิกรัม สูงกว่ากล้วยหอมประมาณ 5 เท่าค่ะ สารเบต้าแคโรทีนจะถูกตับเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาและผิวหนังค่ะ

-กล้วยหอมทองกล้วยหอมเขียว มีโปตัสเซียมสูง ทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้ดีค่ะ และโปตัสเซียมยังช่วยในการทำงานของสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย ทั้งยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่ากล้วยชนิดอื่น แต่ให้พลังงานน้อยกว่ากล้วยไข่และกล้วยน้ำว้า
กล้วยหอมสุก น้ำตาลหลายชนิด มีสารเพคติน โปรตีน วิตามินเอและซี และมีสารที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม คือ Amly Scetatea ค่ะ ถ้าหากรับประทานกล้วยหอม 100 กรัม จะได้รับพลังงาน 130 แคลอรี่ค่ะ

-กล้วยกล้าย กล้วยเล็บช้างกุด
ต้องนำมาทำให้สุกด้วยความร้อน กล้วยเหล่านี้มีแป้ง เมื่อดิบมีแป้งมาก เนื้อค่อนข้างแข็ง เมื่อสุกยังมีส่วนของแป้งอยู่มากกว่ากล้วยกินสดมาก เนื้อจึงไม่ค่อยนิ่ม รสไม่หวาน ต้องนำมาต้ม เผา ปิ้ง เชื่อม จึงจะทำให้อร่อย รสชาติดีขึ้น

-กล้วยร้อยหวีหรือกล้วยงวงช้างhttp://www.thailex.info/THAILEX/THAILEXTHA/lexicon/gluay%20roy%20wie.htm

-กล้วยงาช้าง ใหญ่และผลยาวมากในหนึ่งเครือจะมีกล้วยแค่หนึ่งหวีเท่านั้น มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย (แต่น้อยมาก) ผลใช้รับประทานสด นำไปต้มหรือนึ่งเนื้อผลจะเหนียวขึ้น
http://www.ac104.com/forum/showanswer.php?qid=5297

-กล้วยหินเป็นชื่อเรียกกล้วยชนิดหนึ่งในหลายๆ ชนิดซึ่งชอบขึ้นกันมากในเขตอำเภอบันนังสตา อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ชอบขึ้นตามใหล่เขาที่มีพื้นดินมี่ความชื้นมาก เนื้อข้างในจะมีความนิ่มน้อยกว่ากล้วยชนิดอื่น กล้วยหินสามารถผลิตและทำรายได้และขึ้นชื่อให้กับจังหวัดยะลาเป็นอย่างมาก ได้แก่
1. กล้วยหินต้ม เป็นการนำกล้วยที่สุกแล้วมาต้ม โดยการแยกเป็นหวี ๆ แล้วต้มใส่ภาชนะเหมือนกับการต้มกล้วยชนิดอื่น โดยใส่เกลือในภาชนะประมาณ 1 กำมือต่อน้ำ 1 ปี๊บ ต้มให้สุกแล้วจะรับประทานได้ แหล่งผลิตในการต้มที่มีชื่อเสียงอยู่ในตลาดสามแยกบ้านเนียง ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
2. กล้วยหินฉาบ เป็นการนำกล้วยหินที่แก่จัดและยังดิบมาหั่นให้บางตามความยาวของกล้วย แล้วแช่น้ำปูนขาวเพื่อให้กล้วยมีความกรอบ ต่อจากนั้นสะเด็ดน้ำให้แห้งแล้วจึงเคี่ยวน้ำตาลให้เข้มและข้นต่อจากนั้นจึงนำกล้วยหินที่หั่นแล้วนันฉาลลงในน้ำตาลที่เคี่ยวไว้แล้วให้แห้ง หากต้องการให้มีรสเค็มก็ให้เติมเกลือนิดหน่อย แหล่งที่ผลิตที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา

-กล้วยทอง หรือ กล้วยน้ำว้าทอง เป็นกล้วยน้ำว้าชนิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มานานแล้ว โดยนิยมปลูกเฉพาะถิ่นแพร่หลายในแถบจังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะเด่น คือ ติดหวีดก เครือยาว ผลใหญ่ ที่สำคัญ เนื้อในเวลาสุกจะมีสีสันชวนรับประทานมาก คือ เป็นสีส้ม หรือ สีทองชัดเจน เนื้อแม้สุกงอมก็ไม่เละ รสหวานหอมอร่อยมาก (ปกติกล้วยน้ำว้าที่มีเนื้อในเป็นสีเหลืองหรือสีส้มทั่วไป ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมนั้น จะมีรสหวานปนเปรี้ยว นิยมใช้ทำเป็นกล้วยฉาบ) เลยถูกตั้งชื่อว่า “กล้วยทอง” เฉยๆ หรือ “กล้วยน้ำว้าทอง” ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมของผู้ชอบปลูกกล้วยแพร่หลายทั่วไปกล้วยน้ำว้าทอง มีต้นหรือหน่อขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์
สรรพคุณทาง สมุนไพรของกล้วยน้ำว้าทั่วไป ยางใช้เป็นยาสมานแผล ห้ามเลือดดีมาก ผลดิบแก้ท้องเสีย ผลสุกเป็นยาระบายสำหรับผู้เป็นโรคริดสีดวงทวาร หัวปลีแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเส้นเลือด
http://thairath.com/news.php?section=agriculture03&content=62217

การจำแนกตามลักษณะทางพันธุกรรม
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ นักวิชาการได้เริ่ม จำแนกชนิดของกล้วยตามหลักวิชาการสมัยใหม่ขึ้น คือ มีการแยกชนิดตามพันธุกรรม โดยใช้จีโนม (genome) ของกล้วยเป็นตัวกำหนดในการแยกชนิด กล่าวคือ กล้วยที่บริโภคกันในปัจจุบันนี้มีบรรพบุรุษเพียง ๒ ชนิด เท่านั้น คือ กล้วยป่า และกล้วยตานี กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยป่ามีจีโนมเป็น AA กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยตานีมีจีโนมเป็น BB ส่วนกล้วยที่เกิดจากลูกผสมของกล้วยทั้ง ๒ ชนิดจะมีจีโนมแตกต่างกันไป โดยสามารถจำแนกกลุ่มได้ดังนี้
๑. กลุ่ม AA เป็นกล้วยที่มีกำเนิดมาจากกล้วยป่า ซึ่งอาจเกิดจากการผสมภายในชนิดย่อย (subspecies) หรือระหว่างชนิดย่อย หรืออาจเกิดจากการกลายพันธุ์ กล้วยกลุ่มนี้ มักมีขนาดเล็ก ไม่มีเมล็ดเป็นส่วนใหญ่
๒. กลุ่ม AAA เป็นกล้วยที่มีกำเนิด คล้ายกับกลุ่ม AA แต่ได้มีการเพิ่มจำนวน โครโมโซม (chromosome) ขึ้นเป็น ๓ เท่า ผลมีขนาดใหญ่กว่าชนิดแรก และไม่มีเมล็ด
๓. กลุ่ม AAB เป็นกล้วยลูกผสม
ระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี โดยมีเชื้อของกล้วยป่า ๒ ใน ๓ และมีเชื้อของกล้วยตานี ๑ ใน ๓ กล้วยชนิดนี้มีรสหวาน มีแป้งผสมอยู่บ้างในเนื้อทำให้มีความเหนียว บางชนิดรับประทานสดได้ บางชนิดต้องทำให้สุก ซึ่งเราเรียกกล้วยชนิดที่ต้องทำให้สุกนี้ว่า กล้าย (plantain)
๔. กลุ่ม ABB เป็นกล้วยลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานีเช่นกัน แต่มีเชื้อของกล้วยป่าอยู่น้อยกว่าเชื้อของกล้วยตานี กล่าวคือ มีเชื้อของกล้วยป่าอยู่เพียง ๑ ใน ๓ และมีเชื้อของกล้วยตานี ๒ ใน ๓ เนื้อของกล้วยในกลุ่มนี้จะมีแป้งมาก โดยเฉพาะผลดิบ ผลที่สุกบางชนิดรับประทานสดได้ แต่บางชนิดอาจจะฝาด จึงนิยมนำมาทำให้สุกด้วยความร้อนก่อน จะทำให้รสอร่อยขึ้น เช่น กล้วยหักมุก
๕. กลุ่ม BBB เป็นกล้วยที่มีกำเนิดมาจากกล้วยตานี ปัจจุบันพบว่ากล้วยตานีไม่ได้มีชนิดเดียวเช่นแต่ก่อน ดังนั้นกล้วยกลุ่มนี้อาจเกิดจากการผสมพันธุ์กันในระหว่างชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกัน และอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ก็ได้ กล้วยชนิดนี้มีแป้งมาก เมื่อดิบมีรสฝาดมาก และเมื่อสุกก็ไม่ค่อยอร่อย เนื่องจากมีแป้งประกอบอยู่มากนั่นเอง แต่เมื่อนำมาต้ม หรือย่าง รสชาติจะอร่อยมาก เนื้อแน่นและนุ่ม
๖. กลุ่ม ABBB เป็นกล้วยที่เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานีเช่นกัน เป็นกล้วยที่มีจำนวนโครโมโซมมากเป็น ๔ เท่า ดังนั้นจะมีผลขนาดใหญ่มาก กล้วpในกลุ่มนี้มีอยู่ชนิดเดียวคือ กล้วยเทพรสกล้วยชนิดนี้จะมีเชื้อของกล้วยป่าอยู่เพียง ๑ ใน ๔ และมีเชื้อของกล้วยตานีอยู่ ๓ ใน ๔ จึงมีแป้งมาก ผลที่สุกงอมจะมีรสหวาน
๗. กลุ่ม AABB กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี โดยมีเชื้อของกล้วยป่าอยู่ครึ่งหนึ่ง และกล้วยตานีอีกครึ่งหนึ่ง มีจำนวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็น ๔ เท่า ผลจึงมีขนาดใหญ่

2007-12-30 15:12:54 · answer #1 · answered by กระจกใส 7 · 6 0