English Deutsch Français Italiano Español Português 繁體中文 Bahasa Indonesia Tiếng Việt ภาษาไทย
หมวดหมู่ทั้งหมด

เนื่องจากภรรยาของผมได้ตั้งท้องได้ประมาณ 5 Week แล้วได้ตรวจเจอ ซีส ที่ปีกมดลูกทั้ง 2 ด้าน อยากทราบว่าจะมีวิธีรักษาอย่างไร แล้วลูกของผมจะเป็นอันตรายหรือไม่ครับ
จากคุณพ่อมือใหม่

2007-12-16 13:55:39 · 11 คำตอบ · ถามโดย Anonymous ใน การตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูเด็ก อื่นๆ ในการตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูเด็ก

11 คำตอบ

ได้โทรศัพท์ไปเรียนถามนพ.ชาญชัย พิณเมืองงาม สูตินารีแพทย์ ผอ.รพ.แม่และเด็กที่นครสวรรค์มาให้โดยเฉพาะเลยนะคะ คุณหมอเป็นเจ้านายที่มาให้ออกแบบบ้านให้ค่ะคุณหมอบอกมาว่า

ให้ตรวจอัลตร้าซาวด์ดูขนาดซีสต์ดูก่อนว่า ถ้าขนาดใหญ่ไม่เกิน 6 เซนติเมตร ก็รอให้คุณแม่คลอดก่อนแล้วค่อยผ่าตัดออกทีหลังค่ะ
แต่ถ้าขนาดใหญ่เกินกว่า 6 ซม. อาจจะแตกได้หรือบิดขั้ว ทำให้เกิดอาการปวดท้องฉุกเฉินได้ค่ะ อาจจะเป็นอันตรายได้ ให้รีบผ่าตัดออกได้ระหว่างนี้ค่ะ
อย่างไรก็ตามต้องดูอายุของคุณแม่ด้วยค่ะ
ขอให้รีบพาภรรยาไปพบแพทย์อีกครั้งนะคะ แล้วอัลตร้าซาวด์ดูก่อน จะได้ทำการรักษาให้ถูกวิธีค่ะ
ซีสต์ปกติผู้หญิงจะเป็นกันมาก ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถึงเป็นแล้วก็สามารถรักษาและมีโอกาสมีบุตรได้ตามปกติค่ะ อย่าวิตกกังวลเกินไป ทำใจให้สบายแล้วรีบไปพบแพทย์นะคะ

ขอขอบคุณนพ.ชาญชัย พิณเมืองงาม ไว้ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

2007-12-16 14:12:06 · answer #1 · answered by กระจกใส 7 · 3 0

อย่าชักช้าครับผู้ที่จะตอบคำถามของคุณได้ดีที่สุดน่าจะเป็นคุณหมอครับ....เพราะเขามีทั้งเครื่องมือในการตรวจ.และความรู้ความเชี่ยวชาญ...อย่าเพิ่งวิตกไปมากครับ..หมอเมืองไทยเก่งๆทั้งนั้น..


ช็อกโกแลตซีส หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่
ถ้าคุณเป็นผู้หญิงสละเวลาสักนิดอ่านเถอะ ช็อกโกแลตเป็นชื่อขนมหวานที่เป็นที่โปรดปรานของผู้คนทุกเพศทุกวัย ซีส(cyst) แปลว่า ถุงน้ำช็อกโกแลตซีส หมายถึงถุงน้ำที่มีของเหลวภายในลักษณะเหมือนช็อกโกแลต คำ 2 คำนี้ มีความหมายแตกต่างและ เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง ไม่น่าที่จะมาเชื่อมโยง เป็นเรื่องเดียวกันได้เลย และนับวันผู้หญิงหลายคนก็เริ่มที่จะคุ้นหูกับคำว่า "ช็อกโกแลตซีส" หรือโรคที่ทางการแพทย์เรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่" (endometriosis) กันมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้หันไปทางไหนก็ต้องเจอใครสักคนในบรรดาเพื่อนพ้องสาวโสดเป็นโรคฮิตโรคนี้กันเยอะเหลือเกิน

ที่มาของชื่อถุงน้ำช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตซีสก็คือถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่ง ซึ่งลักษณะของถุงน้ำชนิดนี้ภายในจะมีของเหลวที่คล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือ ถุงเลือด คือจะมีเลือดอยู่ในถุงนั้น เมื่อเลือดหยุดไหลน้ำก็ถูกดูดซึมกลับทำให้เลือดในถุงเข้มขึ้น และเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนานๆ ก็กลายเป็น สีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลตจึงเรียกเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต สำหรับสาเหตุของการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต ในทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากเลือดระดู หรือเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือแทนที่เลือดนั้นจะออกมาทางช่องคลอดของผู้หญิงตามปกติอาจจะมีเลือดระดูส่วนหนึ่ง มีการไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูก แล้วก็เข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้นและเนื่องจากลักษณะเซลล์ของถุงน้ำเป็นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกอันหนึ่งเมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน(คือการที่เยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวออกมา) ถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงด้วย ดังนั้นในแต่ละเดือนที่ผ่านไปถุงน้ำก็จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้นๆ นั่นหมายถึงถุงน้ำก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และการที่ถุงน้ำนี้จะใหญ่เร็วมากน้อย แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนคนนั้นว่าจะดูดน้ำกลับได้เร็วเท่าไหร่ถ้าร่างกายดูดน้ำกลับได้เร็วถุงน้ำนั้นก็จะโตขึ้นแบบช้าๆ
ทำไมหญิงยุคใหม่เป็นโรคนี้กันมากขึ้น
ถ้าดูในเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตผิดที่พบว่าถ้านำผู้หญิง 100 คนมาทำการส่องกล้องเข้าไปดูในขณะที่มีประจำเดือน ผู้หญิงเกือบทั้ง 100 คนจะมีภาวะเลือดระดูไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องทุกคน"แล้วทำไมบางคนเกิดอาการเป็นถุงน้ำฯซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดมากมายแต่บางคนไม่เป็นคำตอบคือ" คนไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำฯมักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่องซึ่งไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้" ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมากก็เพราะความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีที่คุณหมอบอกว่า "จริงๆแล้วก็ไม่มีความแตกต่างกันมากกับอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่ความ
เข้าใจของแพทย์เองต่อโรคนี้จะมีมากขึ้นซึ่งจะทำให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้นก็เลยดูเหมือนกับว่ามีคนเป็นโรคนี้กันเยอะรวมทั้วข่าวสารที่มีการแพร่หลายในวงกว้างจึงทำให้มีการฉุกใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ!เราเป็นโรคนี้หรือเปล่า แล้วก็ไปตรวจ ซึ่งบางคนก็พบว่าเป็นโรคนี้จริง ตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าโรคดังกล่าวเป็นกันมาก"

อาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตเกี่ยวกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ (หรือถุงน้ำช็อกโกแลต) สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรทราบก็คือเมื่อมีประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดออกด้วย และการที่มีเลือดออกในช่องท้องก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้องซึ่งการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้องนี้เองเป็นตัวที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดเพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่า ผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่จะมีอาการปวดท้องมากเวลาที่มีประจำเดือน

แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือนนั้นเป็นอาการปวดปกติธรรมดา(ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็น) หรือเป็นอาการปวดท้องที่เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ เรื่องนี้คุณหมอสมชายให้รายละเอียดว่า "การที่จะแยกว่าอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือนจะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มากแล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดท้องธรรมดา "แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ๆก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมาและปวดมากขึ้นเรื่อยๆในแต่ละเดือนที่ผ่านไปอาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่


ถุงน้ำช็อกโกแลตเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่
ผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรคถุงน้ำ ช็อกโกแลตได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออก และหลายๆกรณีแพทย์บางคนผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออกไปด้วยในคราวเดียวกันด้วยเหตุผลว่าไหนๆก็เจ็บตัวแล้วเอาส่วนที่เกรงว่าจะเกิดโรคคือมดลูกและรังไข่ (ที่เป็นมะเร็งกันเยอะ) ออกไปด้วยเสียเลย แล้วหลังจากนั้นผู้หญิงที่ถูกตัดมดลูกและรังไข่ก็ต้องกินยาฮอร์โมนไปตลอดชีวิต

ด้วยประสบการณ์นี้ที่เล่าสู่กันฟังปากต่อปากทำให้ผู้หญิงเป็นจำนวนไม่น้อยที่มีอาการปวดท้องแล้วไปพบแพทย์ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต (แต่อาจจะไม่ได้อธิบายลักษณะอาการของโรคให้เข้าใจอย่างละเอียด)ก็เข้าใจเพียงแง่เดียวว่า โรคนี้จะต้องรักษาโดยการผ่าตัดเท่านั้น ดังนั้นรายที่กลัวการผ่าตัดก็จะไม่ยอมไปพบแพทย์อีกแล้วก็ยอมทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดท้องดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน บางคนก็แสวงหาวิธีการรักษาต่างๆนานา เช่น กินยาสมุนไพร (ทั้งไทยและจีน)เพื่อให้ถุงน้ำยุบ งดอาหารบางอย่างที่คิดว่าจะเป็นของแสลงหรือหลายคนแม้จะกลัวไม่กล้าจะไปพบแพทย์อีก แต่ลึกๆก็กังวลถุงน้ำดังกล่าวจะกลายเป็นเนื้อร้ายในอนาคตได้หรือไม่ ใน ประเด็นนี้ คุณหมอสมชาย อธิบายให้ฟังถึงข้อเท็จจริงว่า "อาการของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่มีหลายระยะ บางกรณีแม้จะเห็นร่องรอยของเยื่อบุโพรงมดลูกฯ ในช่องท้อง แต่บางครั้งเป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการอะไรซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ "ขณะเดียวกันก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตด้วยว่าอยู่ที่ไหน อุ้งเชิงกรานหรือว่ารังไข่ ซึ่งจริงๆแล้วภาวะถุงน้ำช็อกโกแลตไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายกับผู้หญิงที่เป็นมากนักเพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญมากกว่า เพราะเมื่อปวดประจำเดือนก็อาจจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเท่าที่เขาควรจะทำได้"

ทำไมถุงน้ำช็อกโกแลตจึงพบมากใน ผู้หญิงโสด คำตอบของข้อสงสัยนี้ก็คือถุงน้ำช็อกโกแลต หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ต้องอาศัยฮอร์โมนของรังไข่ ในการเจริญเติบโตพูดง่ายๆ คือโรคนี้เป็นโรคที่คู่กับการมีประจำเดือน"ดังที่บอกไปแล้วนะครับว่า เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ สาเหตุเกิดจากมีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับไปผ่านทางหลอดมดลูกแล้วก็เข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวในอุ้งเชิงกรานหรือรังไข่ แล้วรายงานการวิจัยก็พบว่าผู้หญิงเมื่อมีประจำเดือนไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมาก ถ้าหากไปตรวจช่องท้องก็จะพบว่ามีเลือดประจำเดือนส่วนหนึ่งอยู่ในช่องท้องทุกคน แต่คนที่เกิดอาการก็เพราะภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่องจึงไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้
เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาโรคนี้อย่างหนึ่งก็คือ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นไม่มีประจำเดือน เมื่อไม่มีประจำเดือนถุงน้ำดังกล่าวก็จะฝ่อตัวไปด้วย

"การตั้งครรภ์เป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนอย่างต่ำก็เป็นปีนับตั้งแต่ตั้งท้อง 9 เดือนและหลังคลอดที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีประจำเดือนไปอีก 1-3 เดือน หรือบางคนอาจจะถึง 6 เดือน โดยเฉพาะแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่ 1 ปีที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนเลยนั้นเท่ากับ โรคที่เป็นอยู่ได้รับการรักษาไป 1 ปีใน ขณะที่ผู้หญิงโสดที่ไม่มีลูกก็จะมีประจำเดือนมาเป็นประจำทุกเดือนเพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ในแต่ละเดือนก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆและเมื่อเทียบกันระหว่างคนโสดกับคนที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนพบว่าผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์แล้ว เป็นโรคนี้น้อยกว่าและถึงแม้จะมีโรคก็เป็นกลุ่มที่ไม่แสดงอาการเป็นส่วนใหญ่"

โรคนี้มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
ดังที่ทราบกันแล้วว่าโรคนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคที่รุนแรงหรือมีอันตรายอะไร เพียงแต่จะทำให้มีอาการปวดประจำเดือนดังนั้นหากปวดไม่มากส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีรักษาตามอาการคือกินยาแก้ปวดหรือหากปวดมากแพทย์ก็จะมียาเฉพาะให้และโดยปกติถ้าคนไข้มีอาการไม่มากแพทย์จะไม่ใช้วิธีการผ่าตัดในการรักษาโรคนี้กับคนไข้ "การผ่าตัดจะทำในกรณีที่จำเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้นครับ เช่น ถุงน้ำนั้นใหญ่มากจนทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงหรือถุงน้ำไปกดอวัยวะข้างเคียงเช่น ไปกดกระเพาะปัสสาวะ แล้วทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น หรือ กรณีที่ถุงน้ำแตกซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดท้องแบบเฉียบพลันหรือกรณีของผู้หญิงที่มีลูกยาก จำเป็นต้องผ่าตัดเอาถุงน้ำออกเพราะการที่มีถุงน้ำอยู่จะรบกวนการตั้งครรภ์พอสมควรเพราะมันอาจจะทำให้เกิดพังผืดไปรัดทำให้หลอดมดลูกตีบหรือตันได้"

ในบางกรณีแพทย์อาจจะต้องตัดสินใจผ่าตัดเอาอวัยวะสำคัญของผู้หญิงออกไป เช่น ในกรณีที่มีพังผืดมากในช่องท้องที่อาจจะดึงเอาลำไส้ไปติดกับตัวมดลูกซึ่งหากจะต้องผ่าตัดคนไข้คนนี้หลายครั้งก็อาจจะเป็นอันตรายต่อลำไส้ คือทำให้ลำไส้ทะลุกรณีเช่นนี้แพทย์อาจตัดสินใจที่จะต้องตัดทั้งมดลูกและรังไข่ออกไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังซึ่งคนไข้ก็จะต้องได้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อ จะให้กลับมาเป็นผู้หญิงอย่างปกติ" พูดถึงการผ่าตัดที่ดูน่ากลัวและหลายๆคนคิดว่าคงจะเจ็บปวดเอาการนั้นเรื่องนี้คุณหมอสมชายเล่าให้ฟังว่า "การผ่าตัดมีหลายวิธีและวิธีการที่ดีที่สุดคือการใช้กล้องเข้าไปผ่าตัดวิธีนี้ มีข้อดีคือ คนไข้เจ็บตัวน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดในแบบที่จะต้องเปิดแผลใหญ่ๆ เพราะการใช้วิธีส่องกล้องผ่าตัดคนไข้จะมีแผลเพียงแค่รูเล็กๆขนาดรูตะเกียบ 2 รูเท่านั้น และเมื่อผ่าตัดเสร็จก็ไม่จำเป็นต้องนอนพักโรงพยาบาลหลายๆวันเหมือนกับการผ่าตัดธรรมดา

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากฝากบอก ผู้หญิงที่ยังโสดหรือว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก ก็คือ ถ้าเป็นแล้วให้รีบรักษาเสียแต่เนิ่นๆนะครับเพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานๆโอกาสที่จะมีลูกก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบบ่อยในกรณีของการรักษาผู้ที่มีลูกยาก "ในกรณีของผู้หญิงที่เป็นโรคถุงน้ำช็อกโกแลตหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ตอนอายุใกล้ๆ 45-46 ปี ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาแบบประคับประคองโดยให้กินยา เพราะโรคนี้เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนมันจะหายไปได้เองแต่ตราบใดที่ผู้หญิงยังมีประจำเดือนอยู่ถึงแม้บางคนจะเคยได้รับการผ่าตัดเอาถุงน้ำฯ ออกไปแล้ว แต่โอกาสที่จะเกิดเป็นซ้ำก็มีนะครับ" ความไม่รู้มักจะทำให้คนเราวิตกกังวลไปได้มากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวดังเช่นเรื่องของโรคถุงน้ำช็อกโกแลต หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ที่ยิ่งนับวันก็จะพบผู้มีอาการของโรคเพิ่มขึ้นแต่การได้รู้ที่มาที่ไป หรือสาเหตุของโรคตลอดจนวิธีการรักษาก็จะช่วยทำให้สบายใจขึ้นได้ส่วนหนึ่งและถ้าหากใคได้อ่านบทความเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบก็จะคลายความวิตกกังวลไปได้ว่าโรคนี้ไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่กลัวๆ กันเลย

การตัดมดลูกทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?
การเลือกวิธีการผ่าตัดขึ้นอยู่กับโรค พยาธิสภาพของโรค ความชำนาญของแพทย์ และความต้องการของผู้ป่วย วิธีการผ่าตัดสามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้ :

โดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง
โดยการผ่าตัดทางช่องคลอด
โดยการใช้กล้อง laparoscope
ผลแทรกซ้อนจากการผ่าตัดมีอะไรบ้าง ?
การผ่าตัดถ้าทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สูง มีทีมงานที่พร้อม ห้องผ่าตัดสะอาด เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ครบครัน มีการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเป็น อย่างดี โอกาสเกิดผลแทรกซ้อนจะน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้แก่ :
ตกเลือดขณะผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด
เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะข้างเคียง เช่น ลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะทะลุ ท่อไตถูกตัด
ติดเชื้อหลังผ่าตัด
ผลแทรกซ้อนจากการให้ยาระงับความรู้สึกหรือการวางยาสลบ
สูติ-นรีแพทย์จะเตรียมผู้ป่วยอย่างไรก่อนผ่าตัด ?
เมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติและมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ แพทย์จะต้องทำการวินิจฉัยโรคก่อน โดย ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน ตรวจอัลตราซาวด์ และ ตรวจพิเศษอื่นๆตามความเหมาะสม เมื่อมีข้อบ่งชี้ว่าจะรักษาด้วยการตัดมดลูกและผู้ป่วยยินยอม แพทย์จะเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดดังนี้ :
ตรวจเลือด
ตรวจปัสสาวะ
เอ็กซ์เรย์ปอด
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ตรวจพิเศษอื่นตามความเหมาะสมและจำเป็น
เตรียมเลือด 1-2 ยูนิต
จองห้องผ่าตัด
ผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนมาโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัด ?
งดอาหารและน้ำอย่างเคร่งครัดก่อนเวลาผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการสำลักอาหารและน้ำเข้าปอดซึ่งเป็นอันตรายได้
เดินทางมาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาผ่าตัดอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือตามแพทย์นัด เพื่อจะ ได้มีเวลาเตรียมการผ่าตัด และพบวิสัญญีแพทย์ก่อนเข้าห้องผ่าตัด
ในกรณีที่ต้องการเบิกต้นสังกัด หรือมีประกันสุขภาพ ให้เตรียมหลักฐาน/ใบกรมธรรม์มา ด้วย และแจ้งแก่พยาบาลหรือเวชระเบียนเมื่อมาถึงโรงพยาบาล
การเตรียมผ่าตัดมีอะไรบ้าง ?
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล ให้ติดต่อกับเคาน์เตอร์พยาบาลแผนกผู้ป่วยนอกสูติ-นรีเวชกรรมหรือแผนกฉุกเฉิน ตามที่แพทย์นัดไว้ ซึ่งได้จัดเตรียมแฟ้มเวชระเบียนไว้แล้ว พยาบาลจะแจ้งให้แพทย์เจ้าของไข้ทราบ แพทย์อาจจะพบผู้ป่วยที่แผนกผู้ป่วยนอกก่อนหรือให้ผู้ป่วยไปที่แผนกผู้ป่วยในได้เลย ในกรณีที่ยังไม่ได้ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ ปอด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เจ้าหน้าที่จะพาผู้ป่วยไปตรวจก่อนแล้วจึงพาไปแผนกผู้ป่วยใน
การเตรียมผ่าตัดมีดังนี้ :
โกนขนและทำความสะอาดหน้าท้อง
สวนอุจจาระ
ให้น้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ
พบวิสัญญีแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย และรับทราบถึงวิธีการให้ยาระงับ ความรู้สึกหรือการวางยาสลบ
ลงลายมือชื่อในใบแสดงความยินยอมรับการผ่าตัดและการให้ยาระงับความรู้สึก หรือการวางยาสลบ หลังจากได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เจ้าของไข้และวิสัญญีแพทย์เรียบร้อยแล้ว
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาอย่างไร ? · การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคและเทคนิคการผ่าตัด จากนั้นจะได้รับการดูแลรักษาต่อโดย : · ในห้องพักฟื้น เมื่อการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย ผู้ป่วยจะถูกเคลื่อนย้ายไปห้องพักฟื้นและจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดประมาณ 2 ชั่วโมงหรือตามที่แพทย์ เห็นสมควร ก่อนส่งกลับห้องพัก · ในห้องพักผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยกลับมายังห้องพัก จะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลโดย : 1. ตรวจวัดชีพจร ความดันโลหิต การหายใจ เป็นระยะๆตามที่แพทย์เห็นสมควร 2. คาสายสวนปัสสาวะไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง 3. งดอาหารและน้ำ นานเท่าที่แพทย์เห็นสมควร โดยทั่วไปประมาณ 24-48 ชั่วโมง จากนั้นแพทย์จะให้เริ่มจิบน้ำ ตามด้วยอาหารเหลว อาหารอ่อน และอาหารปกติตามลำดับ 4. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำต่อตามที่แพทย์สั่ง ส่วนใหญ่ประมาณ 48 ชั่วโมง 5. ได้รับยาระงับปวดตามที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสม 6. ได้รับยาปฏิชีวนะต่อตามที่แพทย์เห็นสมควร 7. ในรายที่ต้องตัดไหมบริเวณผิวหนัง แพทย์จะนัดเอง ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด ควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะอยู่โรงพยาบาลหลังผ่าตัด ?
เมื่อมีอาการคลื่นไส้ ปวดแผล หรืออาการผิดปกติใดใด ให้กดออดเรียกพยาบาล
เมื่อรู้สึกตัวดี ให้พยายามเคลื่อนไหวแขนขา พลิกตัวไปมา ปรับหัวเตียงให้สูง เท่าที่จะทำได้
เมื่อต้องการลุกจากเตียง ให้ลุกในท่านอนตะแคง ซึ่งจะได้รับคำแนะนำวิธีจากทีมดูแลผู้ป่วย
เมื่อลุกนั่งได้ เอาสายสวนปัสสาวะออกแล้ว ในการลุกเดินโดยเฉพาะ1-3 ครั้งแรกจะต้องตาม พยาบาลหรือพนักงานช่วยเหลือผู้ป่วยมาช่วยดูแล เพราะอาจมีอาการหน้ามืด เป็นลม หรือหกล้มได้
24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัดเป็นต้นไป พยายามเคลื่อนไหว ลุกนั่งและเดินช้าๆ อย่านอนอยู่บนเตียง ตลอดเวลา เพื่อลดอาการท้องอืด แน่นท้องที่มักจะเกิดขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดพังผืดในช่องท้องตลอดจนลดอาการแทรกซ้อนของระบบหายใจหลังผ่าตัดได้ โดยระยะ แรกจะมีพนักงานช่วยเหลือผู้ป่วยหรือพยาบาลมาช่วยดูแล
ก่อนที่แพทย์จะให้รับประทานอาหารได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำชา นม กาแฟ เค้ก และผลไม้
หลังผ่าตัดสองวันแรก พนักงานผู้ช่วยจะเช็ดตัวทำความสะอาดให้ จากนั้นถ้าผู้ป่วยต้องการอาบ น้ำสามารถทำได้ ถ้าแผลผ่าตัดปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ
ต้องอยู่โรงพยาบาลนานแค่ไหน ? ระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลขึ้นกับความแข็งแรงของผู้ป่วย พยาธิสภาพของโรค และวิธีการผ่าตัด โดยทั่วไปคือ :
ผ่าตัดทางหน้าท้อง อยู่โรงพยาบาลนาน 5-7 วัน
ผ่าตัดทางช่องคลอด อยู่โรงพยาบาลนาน 5-10 วัน
ผ่าตัดโดยใช้กล้อง laparoscope อยู่โรงพยาบาลนาน 3-5 วัน
(ที่มา : บทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สมชาย สุวจนกรณ์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

2007-12-16 21:24:53 · answer #2 · answered by Dr D อยากให้เรารักกัน 2 · 1 0

เท่าที่รู้มาซีสเป็นแค่ถุงน้ำหรือเป็นกระเปาะส่วนเกิน เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายแรงนะครับ แต่ก็แล้วแต่ว่าเกิดขึ้นที่ส่วนไหนด้วย
กรณีนี้ภรรยาเพิ่งตั้งท้องใด้ ห้าสัปดาห์ ผมว่าใจเย็นๆก่อนครับ คิดว่ายังไม่ร้ายแรงอะไรนะ
ลองโทรไปถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดูก่อนนะ อย่าเพิ่งตกใจ คุณแม่ของผมก็เป็นครับ แต่เป็นที่นิ้วมือ หมอก็ไม่บอกว่าร้ายแรงแต่ประการใด

ยังไงก็อย่าวางใจนะครับผมลองโทรไปถามที่ รพ.ศิริราชให้แล้ว (10:21) แผนกตรวจโรค นรีเวชครับ เจ้าหน้าที่บอกให้ไปลองพบแพทย์ก่อนยังไงลองโทรถามดูนะครับ
โทร : 02-419-6378 แผนกตรวจโรค นรีเวช
โทร : 02-419-7000 รพ.ศิริราช
ลองดูนะครับ

(มีบทความเรื่อง
พบแพทย์ศิริราช
--------------------------------------------------------------------------------
ช๊อกโกแลตซีส...โรคของผู้หญิง
ผศ.นพ.สุวิทย์ ศุภภิญโญพงศ์
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/backissue/january2.html
ดูรุนแรงเหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ซีสตัวเดียวกันหรอกครับ ลองศึกษาเป็นข้อมูลก็ได้ ทางที่ดีพาไปตรวจจะดีกว่าครับ)

^_^

2007-12-16 14:31:03 · answer #3 · answered by Prateep 2 · 1 0

อย่าเพิ่งกังวลใจให้มาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ มันน่าจะแก้ไขได้
ขอให้ลูกและภรรยาคุณปลอดภัย ขอให้โชคดีครับ

2007-12-16 23:28:21 · answer #4 · answered by nat 1 · 0 0

ไม่ทราบว่าคุณพ่อมือใหม่ได้ปรึกษาหมอที่พาภรรยาไปฝากท้องหรือยังคะ หมอน่าจะบอกจากอัลตราซาวนด์ แล้วถ้าอันตรายหมอจะบอกเองนะคะว่าต้องทำยังไงบ้าง อย่างที่หลายๆคนบอก ซีสต์ธรรมดาไม่น่ากลัวค่ะ บางครั้งเวลาตั้งครรภ์จะทำให้ดีขึ้นด้วยซ้ำ (ถ้าเป็นชอคโกแลตซีสต์บางกรณี) ส่วนใหญ่คนที่เป็นชอคโกแลตซีสต์จะเคยมีปวดประจำเดือนมากๆ แล้วก็มีเลือดประจำเดือนออกมากและนานกว่าปกติ พอดีคุณพ่อมือใหม่ให้ข้อมูลไว้ไม่พอค่ะ เลยไม่รู้ว่าภรรยาอายุเท่าไหร่ มีอาการเป็นยังไง ซีสต์มีหลายประเภทและหลายขนาด ความรุนแรงไม่เท่ากัน แต่วางใจได้อย่างนะคะว่าถ้าภรรยาคุณตั้งครรภ์ได้ ก็แปลว่าไม่น่าจะรุนแรง แต่ขอย้ำค่ะว่าปรึกษาหมอที่ตรวจจะดีที่สุด อยากรู้อะไรถามไปเลย เยอะๆ จะได้เข้าใจและดูแลภรรยาได้ถูก ขออวยพรล่วงหน้านะคะว่าให้แข็งแรงทั้งคุณแม่คุณลูก รวมถึงคุณพ่อด้วย จะได้ช่วยภรรยาเลี้ยงลูกไงคะ โชคดีค่ะ

2007-12-16 21:09:40 · answer #5 · answered by พอจะรู้ 1 · 0 0

เอาอย่างนี้ ในฐานะที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนะหลานนะ ลุงขอพูดตรง ๆ ว่าทำไมไม่รีบไปหาหมอถามเอาความคิดเห็นที่สอง เอาเวลาไปดูแลเมียดีไหม มัวแต่มาถามในนี้ระวังจะไม่ทันการณ์ แล้วหลานคิดว่าการถามในอินเทอร์เน็ตมันเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรืออย่างไร

ถ้าไม่ชอบที่ลุงตอบก็ลืม ๆ มันไปนะ อย่าถือสาคนแก่....

เดี๋ยวจะหาว่าคนแก่บ่นอะไรไม่ทำการบ้าน

"เนื้องอกที่รังไข่นั้นอาจเป็นเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ที่เกิดขึ้นที่รังไข่หรือเรียกกันว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ก็ได้ค่ะ สาเหตุเกิดจากเยื่อบุมดลูกไปเจริญภายนอกตัวมดลูก เช่น รังไข่ท่อรังไข่ กระเพาะปัสสาวะและก่อให้เกิดพังผืด สาเหตุที่แน่นอนยังไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร
"การรักษาขึ้นอยู่กับความต้องการมีบุตรในขณะนั้นของผู้ป่วยถ้าต้องการมีบุตรก็ต้องทำการผ่าตัดถุงน้ำที่รังไข่และเนื้องอกที่มดลูกออก โดยการผ่าตัดส่องกล้อง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีขนาดโตถึง 5 ซม. แต่ถ้าหากยังไม่ต้องการมีบุตรในขณะนั้น แนะนำให้รักษาด้วยยาไปก่อน เนื่องจากถุงน้ำและเน้องอกยังมีขนาดเล็ก ซึ่งในระหว่างการรักษาอยู่จะไม่มีบุตรค่ะ ซึ่งถ้าผ่าตัดอย่างเดียวโดยไม่มีการรักษาต่อเนื่อง ถุงน้ำอาจเกิดขึ้นอีกได้ จึงต้องพิจารณาควบคู่กันไปค่ะ"

2007-12-16 17:43:33 · answer #6 · answered by ลุงไข่ 1 · 0 0

ตามที่คุณ Natta บอกนั้นแหละค่ะ ถามคุณหมอเจ้าของไข้
ถ้าไม่แน่ใจคุณก็ลองไปโรงพยาบาลอื่นๆ ที่คุณมั่นใจคุณหมอว่าเขาเก่ง แต่ความความจริงคุณหมอสูตินารี ท่านก็เก่งทุกคนแหละค่ะ

I_Tuaw_D ก็เคยเข้าผ่าตัดมาแล้ว เป็นช็อคโคแล็คซีส ที่ปีกมดลูกข้างขวา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12-15 ซม. ซึ่งใหญ่มาก ก็ไปหาหมอประมาณ 3 แห่ง ตอนนั้นกลัวการผ่าตัดมาก ก็เจอคุณหมอสุจีรา (รพ.ศรีวิชัย2 กรุงเทพฯ) ท่านแนะนำดีมาก ก็เลยเข้ารับการรักษากับท่าน

ปรึกษากับคุณหมอนะดีที่สุดแล้ว

2007-12-16 15:04:22 · answer #7 · answered by Iอ้ตัวดี กะ แมวตัวร้าย 3 · 0 0

คุณพ่อมือใหม่พาภรรยาไปพบแพทย์เฉพาะทางจะดีที่สุดครับและต้องเข้มแข็งคิดเสมอว่าไม่มีใครอยากให้เกิดรวมทั้งไม่มีใครผิดทั้งคุณและภรรยาต่างก็ต้องการกำลังใจซึ่งกันและกันครับ ขอให้โชคดีครับ

2007-12-16 14:55:21 · answer #8 · answered by Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒmimi antodiniƸ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ 6 · 0 0

กราบขออภัยเพื่อนๆ ทุกคนที่ต้องใช้พื้นที่นี้สื่อสารนะครับ เนื่องจากคุณเจ้าของคำถามไม่ได้เปิดฟังก์ชั่นอีเมลหรือ Messenger เอาไว้ ผมไม่สามารถติดต่อได้เลย

เนื่องจากเป็นคำถามที่ผมคิดว่าพวกเราน่าจะมีส่วนช่วยคุณได้บ้าง ผมจะนำขึ้นด้านบนไว้นะครับ เพื่อจะได้มีคนตอบคำถามคุณมากขึ้น ขอให้โชคดีครับ รีบไปปรึกษาแพทย์นะครับ

2007-12-16 14:36:15 · answer #9 · answered by Anonymous · 0 0

จากคำถาม คงเป็นคุณพ่อมือใหม่ ที่กังวลจนลืมขอรับคำปรึกษาจากแพทย์แน่ๆ น่าจะลองปรึกษากับแพทย์ที่ตรวจพบเลยจะดีที่สุดเพื่อการรักษาต่อเนื่อง ....ที่สำคัญ!! ไม่แนะนำให้ Shopping Doctors น่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตลอดเวลา

ลองอ่านบทความข้างล่างนี้ก่อน ไปคัดลอกมาให้ ... ภาษาไทยเป็นหนังสือ Copy ไม่ได้ ^^"

What is a functional ovarian cyst?
A functional ovarian cyst is a sac that forms on the surface of a woman’s ovary during ovulation. It holds a maturing egg. Usually the sac goes away after the egg is released. If an egg is not released, or if the sac closes up after the egg is released, the sac can swell up with fluid.

Functional ovarian cysts are different than ovarian growths caused by other problems, such as cancer. Most of these cysts are harmless. They do not cause symptoms, and they go away without treatment. But if a cyst becomes large, it can twist, rupture, or bleed and can be very painful.

What causes functional ovarian cysts?
A functional ovarian cyst forms because of slight changes in the way the ovary makes or releases an egg. There are two types of these cysts:

A follicular cyst occurs when a sac on the ovary does not release an egg, and the sac swells up with fluid.
A luteal cyst occurs when the sac releases an egg and then reseals and fills with fluid.
What are the symptoms?
Most functional ovarian cysts do not cause symptoms. The larger the cyst is, the more likely it is to cause symptoms. They can include:

Pain or aching in your lower belly, usually when you are in the middle of your menstrual cycle.
A delay in the start of your menstrual period.
Vaginal bleeding when you are not having your period.
Some functional ovarian cysts can twist or break open (rupture) and bleed. Symptoms include:

Sudden, severe pain, often with nausea and vomiting (possible sign of a twisted cyst).
Pain during or after sex (possible sign of a ruptured cyst).
If you have these symptoms, call your doctor right away. Some ruptured cysts bleed enough that treatment is needed to prevent heavy blood loss.

How are functional ovarian cysts diagnosed?
Your doctor may find an ovarian cyst during a routine pelvic exam. He or she may then use a pelvic ultrasound to make sure that the cyst is filled with fluid. In a few months, after you have been through 2 or 3 menstrual cycles, your doctor will recheck you. The cyst is likely to go away on its own during this time.

If you see your doctor for pelvic pain or bleeding, you'll be checked for problems that may be causing your symptoms. Your doctor will ask you about your symptoms and menstrual periods. He or she will do a pelvic exam and may do a pelvic ultrasound.

How are they treated?
Most functional ovarian cysts go away without treatment. Your doctor may suggest using heat and medicine to relieve minor pain.

If a large cyst bleeds or causes severe pain, you can have surgery to remove it.

Your doctor may suggest that you take birth control pills, which stop ovulation. This may prevent new cysts from forming.

เค้าก็จะแนะนำในแง่ของการ "ปวด"

ส่วนลูกจะเป็นอันตรายหรือไม่ ก็คงต้องให้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ตรวจโดยตรง ดีที่สุด ...และนี่ก็เป็นคำตอบได้

Cysts (fluid-filled structures) can go down on their own, but it is unlikely a 15cm cyst in pregnancy will do so. Cysts are not that uncommon during pregnancy, affecting about 1 in 1,000 pregnant women. The vast majority of ovarian masses found during pregnancy are benign; the incidence of ovarian cancer is 1 in 25,000 births. Ultrasound can be helpful in determining if a mass is benign or malignant, but it cannot do so with 100 percent certainty. If ultrasound shows that the mass is strictly fluid-filled, without septation or thick walls, it is probably benign.
The problem with large, even benign, cysts during pregnancy is that they may rupture or torse (twist on themselves). Either of these events leads to significant pain for mom and the potential for miscarriage or preterm labor and delivery for the baby. Large (more than 6-8cm) cysts are usually removed surgically if they do not decrease in size spontaneously over the course of a few weeks. In pregnancy, the best time to operate is in the second trimester, ideally around 14-16 weeks. Occasionally, a cyst may be dealt with via laparoscopy, but very large cysts often require a large, open incision.

A 15 cm cyst is rather big, and the potential for complications like rupture is high. If it has remained for more than two weeks, I suggest you talk to your doctor about your option. Your doctor may have been just watching you for now, until you get out of the first trimester (the first 13 weeks of pregnancy). I have removed several masses this size during pregnancy, and all of my patients went on to deliver normal, healthy babies

การโตขึ้นของCyst นั้น ถ้ามีก็เป็นรักษาตามอาการ อย่าเป็นกังวลไปเลยการแพทย์เราก้าวหน้า ถ้ากลัวการผ่าใหญ่อาจจะเลือกการส่องกล้องก็ได้ (Laparoscopy) เจ็บน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามไปด้วย....ในตอนท้ายก็ตอบว่า "healthy babies" น่าจะสบายได้บ้างน่ะ

ส่วนประวัติการเจ็บป่วย อาการหรืออาการแสดงอื่นๆ ไม่ได้แจ้งไว้ จึงไม่ขอสรุปแทนแพทย์ดีกว่า ยินดีด้วย"กับว่าที่คุณพ่อมือใหม่" น่ะ ^^

2007-12-16 14:33:16 · answer #10 · answered by noin@ 4 · 0 0

fedest.com, questions and answers