English Deutsch Français Italiano Español Português 繁體中文 Bahasa Indonesia Tiếng Việt ภาษาไทย
หมวดหมู่ทั้งหมด

2007-11-06 15:54:58 · 5 คำตอบ · ถามโดย ชื่อนายสุนภ1 ใน สังคมศาสตร์ สังคมวิทยา

5 คำตอบ

โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดของโลก แต่ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับที่สุด เชื่อว่า โลกเกิดขึ้นพร้อมกับระบบสุริยะจักรวาล เมื่อราว ๆ 4,560 ล้านปีที่แล้ว

ระบบสุริยะจักรวาล เกิดจากกลุ่มก๊าซและธุลีที่เรียกว่าเนบิวลา (nebula) ภายในเนบิวลานั้น ๆ กลุ่มสสารได้จับกลุ่มกันตรงกลาง จากแรงโน้มถ่วง เกิดเป็น protostar หรือดาวดวงแรก ความร้อนจากกระบวนการดังกล่าว ทำให้เนบิวลาเปลี่ยนสภาพเป็นแผ่นแบน ๆ ที่หมุนได้เหมือนแผ่นเสียง สสารจำนวนมากไปกระจุกตัวอยู่ตรงกลางของแผ่นแบน ๆ นั้น ต่อมาเกิดระเบิดอย่างรุนแรง ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดขี้นตรงใจกลางนั้น พร้อมกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวส์ชั่น (nuclear fusion) ที่ปลดปล่อยพลังงานมหาศาล ก๊าซและอนุภาคของฝุ่นธุลีต่าง ๆ หมุนเป็นวงรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และเกิดเป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ ส่วนที่ล้อมรอบอยู่ด้านนอก ของระบบสุริยะจักรวาล ประกอบไปด้วยกลุ่มของก้อนหินและก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นดาวหาง (comets) โดยที่ดาวหางจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในองศาที่ต่างกันไป ในระหว่างวงโคจรระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี มีวงของแนวกลุ่มหิน ที่เรียกว่า กลุ่มดาวเคราะห์น้อย (asteroids) โคจรอยู่ ซึ่งบางครั้งชิ้นส่วนของดาวเคราะห์น้อยหลุดจากวงโคจร พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ของโลกเหมือนลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ดังที่เรียกกันว่าดาวตกหรือผีพุ่งไต้ ส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้ใน ชั้นบรรยากาศที่ตกลงมาถึงเปลือกโลกจะเรียกว่า อุกกาบาต หรือ อุกาบาต (meteorites)

เมื่อโลกเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ นั้น โลกมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันมาก แต่ด้วยชิ้นส่วนของดาวเคราะห์และดาวหางจำนวนมหาศาลที่ตกลงสู่โลก ในช่วง 2-3 ล้านปีแรก ทำให้โลกมีขนาดเท่ากับปัจจุบัน

หลังจากนั้นประมาณ 100 ล้านปี โลกได้มีการแบ่งเป็นชั้น ๆ เนื่องจากแรงโน้มถ่วง โดยที่ส่วนที่หนักที่สุด (เหล็ก-นิเกิล) เป็นแกนกลาง (core) ส่วนที่เบากว่าเช่นเหล็ก แมกนีเซียม ซิลิเกต อลูมิเนียม และแคลเซียมเป็นผิวโลกในชั้นแมนเทิล (mantle) และเปลือกโลก (crust) ส่วนที่เบาที่สุดได้แก่พวกก๊าซต่าง ๆ ห่อหุ้มโลกไว้

เมื่อโลกค่อย ๆ เย็นตัวลง ไอน้ำเริ่มจับตัวกันเกิดเป็นเมฆ และฝนตกลงมาสู่พื้นโลก เกิดเป็นทะเล แม่น้ำ และ มหาสมุทร

โลกเมื่อ 4,000 ล้านปีที่ผ่านมา มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเด่น มีก๊าซออกซิเจนเพียงเล็กน้อย สิ่งมีชีวิตในยุคแรกมีองค์ประกอบทางเคมีที่หลากหลาย แต่องค์ประกอบที่สำคัญคือ น้ำ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และ ไนโตรเจน

ซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กที่เก่าแก่ที่สุดที่ได้มีการค้นพบ มีอายุประมาณ 3,500 ล้านปี เป็นซากของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่เกาะติดกันเป็นสายเหมือนเส้นเชือกหรือลูกปัด โดยโครงสร้างมีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (cyanobacteria) ซึ่งสามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตออกซิเจนให้กับโลกในอดีต


กำเนิดโลก
ผลจากการศึกษาพบว่าโลกเป็นสมาชิกหนึ่งของระบบสุริยะ โดยมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของระบบ สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับกำเนิดของระบบสุริยะนั้น มีหลายทฤษฎีที่กล่าวไว้เช่น

-พ.ศ.2339 คานท์ และ ลาพลาส ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะไว้ โดยเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และสิ่งต่าง ๆ ในระบบสุริยะมีกำเนิดมาจาก กลุ่มแก๊สที่ร้อนจัด และหมุนอยู่แรงเหวี่ยงจากการหมุน ทำให้ เกิดเป็นลักษณะ วงแหวนหมุนกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง ต่อมาบริเวณศูนย์กลางของวงแหวน ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนกลุ่มแก๊สในแต่ละวงแหวนก็จะรวมตัวกันแล้วหดตัว กลายเป็นดาวเคราะห์ และสิ่งอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งรวมทั้งโลก ที่เราอาศัยอยู่นี้ด้วยแต่ ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริงเมื่อดาวเคราะห์ต่างๆ ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ควร จะหมุนเร็วขึ้นแต่กลับปรากฏว่า ดวงอาทิตย์นั้นหมุนช้ามาก ทฤษฎีนี้จึงต้องมีการปรับปรุง

-พ.ศ 2493 เฟรด ฮอยล์ และฮานส์ อัลเฟน ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะขึ้นอีก โดยอาศัยทฤษฎ๊ของลาพลาส และหลักฐานจากการศึกษาปรากฏการณ์ท้องฟ้าเพิ่มเติม ซึ่งสรุปความได้ว่ามีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อน จากการรวมตัวของกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง ต่อมาดวงอาทิตย์ที่เกิดใหม่นี้เริ่มมีแสงสว่าง และยังคงมีกลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองห้อมล้อมอยู่ โดยหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ กลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองเหล่านี้ถูกดึงดูดให้อัดตัวแน่นขึ้น และรวมตัวเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนวัตถุขนาดใหญ่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์นั่นเอง

ให้สังเกตข้อแตกต่างของทั้งสองทฤษฏีนี้ ซึ่งดูเผินๆจะเหมือนกัน แค่ความจริงต่างกัน

-ทฤษฎีของเจมส์ ยีนส์ พ.ศ.2444 กล่าวว่า มีดาวฤกษ์ขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดระหว่างดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ทำให้มวลบางส่วนของดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์หลุดออกมากลายเป็นดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งโลกและวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ
ทฤษฎีเจม ยีนส์ ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเท่าไร

***แต่ในปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุใด

เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ได้หลักฐานและข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆค่ะ

2007-11-06 16:46:03 · answer #1 · answered by กระจกใส 7 · 1 0

ก่อนจะกล่าวถึงโลก น่าจะกล่าวถึงจักรวาลเสียก่อนเพราะโลกเป็น ส่วนเล็กมากๆๆในจักวาล ชนิดที่ว่าเมื่อคิดขนาดเทียบกันแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลย ทฤษฎีการเกิดจักรวาล มีมายมาย
แต่จะยกตัวอย่างที่สำคัญ ดังนี้
ทฤษฎี บิกแบง (การระเบิดครั้งใหญ่) เป็นทฤษฎีที่ ได้รับการยอมรับ และมีหลักฐานสนับสนุนมาที่สุดในปัจจุบันเรียกว่ายังหาทฤษฎีอื่น ีมาลบล้างยังไม่ได้Lemitre ได้ความคิดกำเนิดจักรวาลแบบ Big Bang จากการค้นพบโดย Edwin Hubble ว่าจักรวาลประกอบ ด้วยกาแล็กซีต่างๆ มากมาย และกาแล็กซีต่างๆก็กำลังเคลื่อนที่ หนีออกจากกัน Lemaitre จึงเสนอเป็นความคิดต่อว่า เป็นไปได้ที่บรรดากาแล็กซีต่างๆที่กำลังเคลื่อนที่หนีออกจากกันนั้น จริงๆ แล้ว ก็กำลังเคลื่อนที่ออกจากจุดกำเนิดในอดีตเดียวกัน
กล่าวคือ ถ้ามนุษย์สามารถหมุนเวลาย้อนสู่อดีตไดก็เป็นไปได้้ ที่จะได้เห็นบรรดากาแล็กซีต่างๆซึ่งกระจัดกระจาย กันอยู่ในปัจจุบัน มีจุดกำเนิดร่วมกันในอดีตกล่าวคือ จะได้เห็นบรรดากาแล็กซีต่างๆ ถอยหลังวิ่งเข้าหาจุดเดียวกัน และจุดกำเนิดเดียวกันนั้น ก็คือ จุดกำเนิดจักรวาลที่รุนแรงเป็นแบบ BigBang.ข้อมูลหลักฐาน ทางดาราศาสตร์ถึงปัจจุบัน สนับสนุนทฤษฎีกำเนิดจักรวาล จากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ มากกว่าข้อมูลหลักฐานที่สำคัญ มีอยู่ 2 ประการ คือ :(1) การขยายตัวของจักรวาล
เป็นผลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในอดีตนั่นเองส่งผลให้ทุกสิ่ง
ทุกอย่างในจักรวาล เคลื่อนที่หนีออกจากกัน
(2)การค้นพบคลื่นรังสีความร้อนระดับไมโคร เวฟมีอุณหภูมิ ิประมาณ3เคลวินกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลอย่างสม่ำเสมอ
****กำเนิดโลก***
ผลจากการศึกษาพบว่าโลกเป็นสมาชิกหนึ่งของระบบสุริยะ โดยมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของระบบสำหรับส่วนที่เกี่ยวกับ กำเนิดของระบบสุริยะนั้น มีหลายทฤษฎีที่กล่าวไว้เช่น
ี *ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อนจากการรวมตัวของกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง ต่อมาดวงอาทิตย์ที่เกิดใหม่นี้เริ่มมีแสงสว่างและยังคงมีกลุ่มแก๊ส และฝุ่นละอองห้อมล้อมอยู่ โดยหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ กลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองเหล่านี้ถูกดึงดูดให้อัดตัวแน่นขึ้นและรวม ตัวเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนวัตถุุุขนาดใหญ่โคจร
ุรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์นั่นเอง
*คานท์ และ ลาพลาส ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะไว้ โดยเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และสิ่งต่าง ๆในระบบสุริยะ มีกำเนิดมาจากกลุ่มแก๊สที่ร้อนจัดและหมุนอยู่แรงเหวี่ยงจากการหมุน ทำให้ เกิดเป็นลักษณะ วงแหวนหมุนกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง ต่อมาบริเวณศูนย์กลางของวงแหวน ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนกลุ่มแก๊สในแต่ละวงแหวนก็จะรวมตัวกันแล้วหดตัว กลายเป็นดาวเคราะห์ และสิ่งอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งรวมทั้งโลก ที่เราอาศัยอยู่นี้ด้วยแต่

2007-11-07 01:15:36 · answer #2 · answered by Anonymous · 1 0

ผมว่า โลก คงจะเกิดจากการรวมตัวกันไป รวมตัวกันมา
ของดิน น้ำ ลม กับ ความร้อน นะ

บางที มันกันรวมตัวกันได้อย่างเหมาะสม บางทีมันกันทำลายกันเองอย่างไม่เหมาะสมบ้าง ก่อเกิดกันไป ทำลายกันมา แบบมั่วๆ

จนกระทั่ง วันนึง คุณก็มาตั้งคำถามนี้กับผม วันนี้ ผมก็เลยตอบคำถามของคุณอย่างมีเหตุผมมั่ง ไม่มีเหตุผลมั่งอะครับ

คุณพอจะเข้าใจบ้างหรือยังเอ่ย ถ้ายังไม่เข้าใจ ถามผมใหม่ได้นะ

2007-11-07 09:01:01 · answer #3 · answered by Chef Noy71 5 · 0 0

อัคคัญญสูตร : ว่าด้วยวิวัฒนาการของโลกนี้ นับเป็นพระสูตรที่สำคัญยิ่งสูตรหนึ่ง เพราะให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเกิดขึ้นและความเป็นไปของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุมีผล อย่างมีระบบ และปฏิเสธการสร้างโลกตามลัทธิที่เชื่อว่า “พระเจ้าสร้างโลก”
และแม้แต่สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมีมนุษย์เป็นต้น ก็ต้องใช้เวลายาวนาน ถึงนานมากกว่าจะวิวัฒนาการขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ นับว่าเป็นคำตอบที่ชอบด้วยเหตุผล สามารถตรวจสอบได้ทางวิทยาศาสตร์แต่ถ้าหาก“พระเจ้าเป็นผู้สร้างทั้งหมด”ก็ไม่มีสิ่งใดไปตรวจสอบได้แม้กระทั้งวิทยาศาสตร์ ผู้แสวงปัญญาก็สามารถวินิจฉัยได้ว่า เหตุผลด้านใดน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
แต่เดิมเชื่อว่าพราหมณ์พระเสริฐสุด วรรณะอื่นต่ำหรือทรามกว่า แต่พุทธศาสนาให้คำตอบว่า ไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใด หากทำความชั่วก็ทรามทั้งสิ้น หากทำความดีก็ประเสริฐ และยิ่งหมดสิ้นอาสวะด้วยแล้วนับว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด
สรุปความสำคัญ อัคคัญญสูตร
๑.แต่เดิมพวกพราหมณ์เชื่อว่าพวกเขาเกิดจากอุระพระพรหมบ้าง ปากของพระพรหมบ้าง แต่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นง่าย ๆ ว่า พวกพราหมณ์ก็เกิดจากนางพราหมณีนั่นเอง หาใช่พระพรหมเป็นผู้สร้างไม่
๒.แด่เดิมพวกพราหมณ์เชื่อว่าวรรณะทั้ง ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร นั้น พราหมณ์เท่านั้นประเสริฐสุด แต่พระพุทธเจ้าทรงชี้ชัดว่า ไม่ว่าจะอยู่ในวรรณะใด หากทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจและไม่ดีทั้ง หากประพฤติชอบด้วยกาย วาจา และใจ ก็เป็นผู้ประเสริฐ และยิ่งหมดสิ้นกิเลสได้ ก็จะเป็นผู้ประเสริฐสุด หาใช่อยู่ที่ชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด
๓.แต่เดิมพวกพราหมณ์เชื่อว่าพระพรมเท่านั้นประเสริฐ แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรม ประเสริฐ เรียกได้ว่าทรงดึงจากเทพมาสู่ธรรม และพระธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนประเสริฐสุดได้ด้วยการพัฒนาตามระบบไตรสิกขา
๔.พวกพราหมณ์เชื่อว่า พระพรมสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีวิฒนาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างช้า ๆ หามีผู้ใดสร้างขึ้นไม่ นับเป็นความมหัศจรรย์ของพระสูตรนี้ ที่กล่าวถึงวิวัฒนาการของโลก หรือเรียกให้ทันสมัยว่า จักรวาลวิทยา

2007-11-07 02:04:33 · answer #4 · answered by John 4 · 0 0

โลก (Earth) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สาม โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานนัก ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำเนิดตามมา สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองโลกในปัจจุบันนี้คือมนุษย์

โลก มีลักษณะเป็นทรงวงรี โดย ในแนวดิ่งเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน ยาว 12,755 กม. ต่างกัน 44 กม. มีพื้นน้ำ 3 ส่วน หรือ 71% และมีพื้นดิน 1 ส่วน หรือ 29 % แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา

ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบันกล่าวว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากการยุบตัวลงของกลุ่มฝุ่นและแก๊ส พร้อมๆ กับการก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ที่ใจกลาง ดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถมองเห็นได้เนื่องจากพื้นผิวสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะมีดาวบริวารโคจรรอบ ยกเว้นดาวพุธและดาวศุกร์ และสามารถพบระบบวงแหวนได้ในดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน มีเพียงดาวเสาร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นวงแหวนได้ชัดเจนด้วยกล้องโทรทรรศน์

คำถามนี้ทำให้รู้เพิ่มขึ้น ดีจังเลย

2007-11-07 00:04:26 · answer #5 · answered by Anonymous · 0 0

fedest.com, questions and answers