โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดของโลก แต่ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับที่สุด เชื่อว่า โลกเกิดขึ้นพร้อมกับระบบสุริยะจักรวาล เมื่อราว ๆ 4,560 ล้านปีที่แล้ว
ระบบสุริยะจักรวาล เกิดจากกลุ่มก๊าซและธุลีที่เรียกว่าเนบิวลา (nebula) ภายในเนบิวลานั้น ๆ กลุ่มสสารได้จับกลุ่มกันตรงกลาง จากแรงโน้มถ่วง เกิดเป็น protostar หรือดาวดวงแรก ความร้อนจากกระบวนการดังกล่าว ทำให้เนบิวลาเปลี่ยนสภาพเป็นแผ่นแบน ๆ ที่หมุนได้เหมือนแผ่นเสียง สสารจำนวนมากไปกระจุกตัวอยู่ตรงกลางของแผ่นแบน ๆ นั้น ต่อมาเกิดระเบิดอย่างรุนแรง ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดขี้นตรงใจกลางนั้น พร้อมกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวส์ชั่น (nuclear fusion) ที่ปลดปล่อยพลังงานมหาศาล ก๊าซและอนุภาคของฝุ่นธุลีต่าง ๆ หมุนเป็นวงรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และเกิดเป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ ส่วนที่ล้อมรอบอยู่ด้านนอก ของระบบสุริยะจักรวาล ประกอบไปด้วยกลุ่มของก้อนหินและก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นดาวหาง (comets) โดยที่ดาวหางจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในองศาที่ต่างกันไป ในระหว่างวงโคจรระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี มีวงของแนวกลุ่มหิน ที่เรียกว่า กลุ่มดาวเคราะห์น้อย (asteroids) โคจรอยู่ ซึ่งบางครั้งชิ้นส่วนของดาวเคราะห์น้อยหลุดจากวงโคจร พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ของโลกเหมือนลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ดังที่เรียกกันว่าดาวตกหรือผีพุ่งไต้ ส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้ใน ชั้นบรรยากาศที่ตกลงมาถึงเปลือกโลกจะเรียกว่า อุกกาบาต หรือ อุกาบาต (meteorites)
เมื่อโลกเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ นั้น โลกมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันมาก แต่ด้วยชิ้นส่วนของดาวเคราะห์และดาวหางจำนวนมหาศาลที่ตกลงสู่โลก ในช่วง 2-3 ล้านปีแรก ทำให้โลกมีขนาดเท่ากับปัจจุบัน
หลังจากนั้นประมาณ 100 ล้านปี โลกได้มีการแบ่งเป็นชั้น ๆ เนื่องจากแรงโน้มถ่วง โดยที่ส่วนที่หนักที่สุด (เหล็ก-นิเกิล) เป็นแกนกลาง (core) ส่วนที่เบากว่าเช่นเหล็ก แมกนีเซียม ซิลิเกต อลูมิเนียม และแคลเซียมเป็นผิวโลกในชั้นแมนเทิล (mantle) และเปลือกโลก (crust) ส่วนที่เบาที่สุดได้แก่พวกก๊าซต่าง ๆ ห่อหุ้มโลกไว้
เมื่อโลกค่อย ๆ เย็นตัวลง ไอน้ำเริ่มจับตัวกันเกิดเป็นเมฆ และฝนตกลงมาสู่พื้นโลก เกิดเป็นทะเล แม่น้ำ และ มหาสมุทร
โลกเมื่อ 4,000 ล้านปีที่ผ่านมา มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเด่น มีก๊าซออกซิเจนเพียงเล็กน้อย สิ่งมีชีวิตในยุคแรกมีองค์ประกอบทางเคมีที่หลากหลาย แต่องค์ประกอบที่สำคัญคือ น้ำ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และ ไนโตรเจน
ซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กที่เก่าแก่ที่สุดที่ได้มีการค้นพบ มีอายุประมาณ 3,500 ล้านปี เป็นซากของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่เกาะติดกันเป็นสายเหมือนเส้นเชือกหรือลูกปัด โดยโครงสร้างมีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (cyanobacteria) ซึ่งสามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตออกซิเจนให้กับโลกในอดีต
กำเนิดโลก
ผลจากการศึกษาพบว่าโลกเป็นสมาชิกหนึ่งของระบบสุริยะ โดยมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของระบบ สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับกำเนิดของระบบสุริยะนั้น มีหลายทฤษฎีที่กล่าวไว้เช่น
-พ.ศ.2339 คานท์ และ ลาพลาส ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะไว้ โดยเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และสิ่งต่าง ๆ ในระบบสุริยะมีกำเนิดมาจาก กลุ่มแก๊สที่ร้อนจัด และหมุนอยู่แรงเหวี่ยงจากการหมุน ทำให้ เกิดเป็นลักษณะ วงแหวนหมุนกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง ต่อมาบริเวณศูนย์กลางของวงแหวน ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนกลุ่มแก๊สในแต่ละวงแหวนก็จะรวมตัวกันแล้วหดตัว กลายเป็นดาวเคราะห์ และสิ่งอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งรวมทั้งโลก ที่เราอาศัยอยู่นี้ด้วยแต่ ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริงเมื่อดาวเคราะห์ต่างๆ ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ควร จะหมุนเร็วขึ้นแต่กลับปรากฏว่า ดวงอาทิตย์นั้นหมุนช้ามาก ทฤษฎีนี้จึงต้องมีการปรับปรุง
-พ.ศ 2493 เฟรด ฮอยล์ และฮานส์ อัลเฟน ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะขึ้นอีก โดยอาศัยทฤษฎ๊ของลาพลาส และหลักฐานจากการศึกษาปรากฏการณ์ท้องฟ้าเพิ่มเติม ซึ่งสรุปความได้ว่ามีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อน จากการรวมตัวของกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง ต่อมาดวงอาทิตย์ที่เกิดใหม่นี้เริ่มมีแสงสว่าง และยังคงมีกลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองห้อมล้อมอยู่ โดยหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ กลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองเหล่านี้ถูกดึงดูดให้อัดตัวแน่นขึ้น และรวมตัวเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนวัตถุขนาดใหญ่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์นั่นเอง
ให้สังเกตข้อแตกต่างของทั้งสองทฤษฏีนี้ ซึ่งดูเผินๆจะเหมือนกัน แค่ความจริงต่างกัน
-ทฤษฎีของเจมส์ ยีนส์ พ.ศ.2444 กล่าวว่า มีดาวฤกษ์ขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดระหว่างดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ทำให้มวลบางส่วนของดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์หลุดออกมากลายเป็นดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งโลกและวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ
ทฤษฎีเจม ยีนส์ ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเท่าไร
***แต่ในปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุใด
เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ได้หลักฐานและข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆค่ะ
2007-11-06 16:46:03
·
answer #1
·
answered by กระจกใส 7
·
1⤊
0⤋
ก่อนจะกล่าวถึงโลก น่าจะกล่าวถึงจักรวาลเสียก่อนเพราะโลกเป็น ส่วนเล็กมากๆๆในจักวาล ชนิดที่ว่าเมื่อคิดขนาดเทียบกันแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลย ทฤษฎีการเกิดจักรวาล มีมายมาย
แต่จะยกตัวอย่างที่สำคัญ ดังนี้
ทฤษฎี บิกแบง (การระเบิดครั้งใหญ่) เป็นทฤษฎีที่ ได้รับการยอมรับ และมีหลักฐานสนับสนุนมาที่สุดในปัจจุบันเรียกว่ายังหาทฤษฎีอื่น ีมาลบล้างยังไม่ได้Lemitre ได้ความคิดกำเนิดจักรวาลแบบ Big Bang จากการค้นพบโดย Edwin Hubble ว่าจักรวาลประกอบ ด้วยกาแล็กซีต่างๆ มากมาย และกาแล็กซีต่างๆก็กำลังเคลื่อนที่ หนีออกจากกัน Lemaitre จึงเสนอเป็นความคิดต่อว่า เป็นไปได้ที่บรรดากาแล็กซีต่างๆที่กำลังเคลื่อนที่หนีออกจากกันนั้น จริงๆ แล้ว ก็กำลังเคลื่อนที่ออกจากจุดกำเนิดในอดีตเดียวกัน
กล่าวคือ ถ้ามนุษย์สามารถหมุนเวลาย้อนสู่อดีตไดก็เป็นไปได้้ ที่จะได้เห็นบรรดากาแล็กซีต่างๆซึ่งกระจัดกระจาย กันอยู่ในปัจจุบัน มีจุดกำเนิดร่วมกันในอดีตกล่าวคือ จะได้เห็นบรรดากาแล็กซีต่างๆ ถอยหลังวิ่งเข้าหาจุดเดียวกัน และจุดกำเนิดเดียวกันนั้น ก็คือ จุดกำเนิดจักรวาลที่รุนแรงเป็นแบบ BigBang.ข้อมูลหลักฐาน ทางดาราศาสตร์ถึงปัจจุบัน สนับสนุนทฤษฎีกำเนิดจักรวาล จากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ มากกว่าข้อมูลหลักฐานที่สำคัญ มีอยู่ 2 ประการ คือ :(1) การขยายตัวของจักรวาล
เป็นผลจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในอดีตนั่นเองส่งผลให้ทุกสิ่ง
ทุกอย่างในจักรวาล เคลื่อนที่หนีออกจากกัน
(2)การค้นพบคลื่นรังสีความร้อนระดับไมโคร เวฟมีอุณหภูมิ ิประมาณ3เคลวินกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลอย่างสม่ำเสมอ
****กำเนิดโลก***
ผลจากการศึกษาพบว่าโลกเป็นสมาชิกหนึ่งของระบบสุริยะ โดยมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของระบบสำหรับส่วนที่เกี่ยวกับ กำเนิดของระบบสุริยะนั้น มีหลายทฤษฎีที่กล่าวไว้เช่น
ี *ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อนจากการรวมตัวของกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง ต่อมาดวงอาทิตย์ที่เกิดใหม่นี้เริ่มมีแสงสว่างและยังคงมีกลุ่มแก๊ส และฝุ่นละอองห้อมล้อมอยู่ โดยหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ กลุ่มแก๊สและฝุ่นละอองเหล่านี้ถูกดึงดูดให้อัดตัวแน่นขึ้นและรวม ตัวเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนวัตถุุุขนาดใหญ่โคจร
ุรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์นั่นเอง
*คานท์ และ ลาพลาส ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดระบบสุริยะไว้ โดยเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และสิ่งต่าง ๆในระบบสุริยะ มีกำเนิดมาจากกลุ่มแก๊สที่ร้อนจัดและหมุนอยู่แรงเหวี่ยงจากการหมุน ทำให้ เกิดเป็นลักษณะ วงแหวนหมุนกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง ต่อมาบริเวณศูนย์กลางของวงแหวน ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนกลุ่มแก๊สในแต่ละวงแหวนก็จะรวมตัวกันแล้วหดตัว กลายเป็นดาวเคราะห์ และสิ่งอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งรวมทั้งโลก ที่เราอาศัยอยู่นี้ด้วยแต่
2007-11-07 01:15:36
·
answer #2
·
answered by Anonymous
·
1⤊
0⤋
ผมว่า โลก คงจะเกิดจากการรวมตัวกันไป รวมตัวกันมา
ของดิน น้ำ ลม กับ ความร้อน นะ
บางที มันกันรวมตัวกันได้อย่างเหมาะสม บางทีมันกันทำลายกันเองอย่างไม่เหมาะสมบ้าง ก่อเกิดกันไป ทำลายกันมา แบบมั่วๆ
จนกระทั่ง วันนึง คุณก็มาตั้งคำถามนี้กับผม วันนี้ ผมก็เลยตอบคำถามของคุณอย่างมีเหตุผมมั่ง ไม่มีเหตุผลมั่งอะครับ
คุณพอจะเข้าใจบ้างหรือยังเอ่ย ถ้ายังไม่เข้าใจ ถามผมใหม่ได้นะ
2007-11-07 09:01:01
·
answer #3
·
answered by Chef Noy71 5
·
0⤊
0⤋
à¸à¸±à¸à¸à¸±à¸à¸à¸ªà¸¹à¸à¸£ : วà¹à¸²à¸à¹à¸§à¸¢à¸§à¸´à¸§à¸±à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¹à¸¥à¸à¸à¸µà¹ à¸à¸±à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸°à¸ªà¸¹à¸à¸£à¸à¸µà¹à¸ªà¸³à¸à¸±à¸à¸¢à¸´à¹à¸à¸ªà¸¹à¸à¸£à¸«à¸à¸¶à¹à¸ à¹à¸à¸£à¸²à¸°à¹à¸«à¹à¸à¸³à¸à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸±à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¸µà¹à¸¢à¸§à¸à¸±à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¸´à¸à¸à¸¶à¹à¸à¹à¸¥à¸°à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸à¸à¸ªà¸£à¸£à¸à¸ªà¸´à¹à¸à¸à¸µà¹à¹à¸à¸´à¸à¸à¸¶à¹à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸¡à¸µà¹à¸«à¸à¸¸à¸¡à¸µà¸à¸¥ à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸¡à¸µà¸£à¸°à¸à¸ à¹à¸¥à¸°à¸à¸à¸´à¹à¸ªà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¹à¸¥à¸à¸à¸²à¸¡à¸¥à¸±à¸à¸à¸´à¸à¸µà¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸² “à¸à¸£à¸°à¹à¸à¹à¸²à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¹à¸¥à¸”
à¹à¸¥à¸°à¹à¸¡à¹à¹à¸à¹à¸ªà¸£à¸£à¸à¸ªà¸´à¹à¸à¸à¸µà¹à¹à¸à¸´à¸à¸à¸¶à¹à¸à¸¡à¸µà¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¹à¸à¹à¸à¸à¹à¸ à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¹à¸§à¸¥à¸²à¸¢à¸²à¸§à¸à¸²à¸ à¸à¸¶à¸à¸à¸²à¸à¸¡à¸²à¸à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸°à¸§à¸´à¸§à¸±à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸£à¸à¸¶à¹à¸à¸¡à¸²à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸ªà¸¡à¸à¸¹à¸£à¸à¹ à¸à¸±à¸à¸§à¹à¸²à¹à¸à¹à¸à¸à¸³à¸à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸à¸à¸à¹à¸§à¸¢à¹à¸«à¸à¸¸à¸à¸¥ สามารà¸à¸à¸£à¸§à¸à¸ªà¸à¸à¹à¸à¹à¸à¸²à¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¨à¸²à¸ªà¸à¸£à¹à¹à¸à¹à¸à¹à¸²à¸«à¸²à¸“à¸à¸£à¸°à¹à¸à¹à¸²à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¸à¸±à¹à¸à¸«à¸¡à¸”à¸à¹à¹à¸¡à¹à¸¡à¸µà¸ªà¸´à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸§à¸à¸ªà¸à¸à¹à¸à¹à¹à¸¡à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸±à¹à¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¨à¸²à¸ªà¸à¸£à¹ à¸à¸¹à¹à¹à¸ªà¸§à¸à¸à¸±à¸à¸à¸²à¸à¹à¸ªà¸²à¸¡à¸²à¸£à¸à¸§à¸´à¸à¸´à¸à¸à¸±à¸¢à¹à¸à¹à¸§à¹à¸² à¹à¸«à¸à¸¸à¸à¸¥à¸à¹à¸²à¸à¹à¸à¸à¹à¸²à¹à¸à¸·à¹à¸à¸à¸·à¸à¸¡à¸²à¸à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸±à¸
à¹à¸à¹à¹à¸à¸´à¸¡à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸à¸ªà¸¸à¸ วรรà¸à¸°à¸à¸·à¹à¸à¸à¹à¸³à¸«à¸£à¸·à¸à¸à¸£à¸²à¸¡à¸à¸§à¹à¸² à¹à¸à¹à¸à¸¸à¸à¸à¸¨à¸²à¸ªà¸à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸³à¸à¸à¸à¸§à¹à¸² à¹à¸¡à¹à¸§à¹à¸²à¸à¸°à¹à¸à¸´à¸à¹à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸°à¹à¸ หาà¸à¸à¸³à¸à¸§à¸²à¸¡à¸à¸±à¹à¸§à¸à¹à¸à¸£à¸²à¸¡à¸à¸±à¹à¸à¸ªà¸´à¹à¸ หาà¸à¸à¸³à¸à¸§à¸²à¸¡à¸à¸µà¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸ à¹à¸¥à¸°à¸¢à¸´à¹à¸à¸«à¸¡à¸à¸ªà¸´à¹à¸à¸à¸²à¸ªà¸§à¸°à¸à¹à¸§à¸¢à¹à¸¥à¹à¸§à¸à¸±à¸à¸§à¹à¸²à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸à¸ªà¸¸à¸
สรุà¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¸ªà¸³à¸à¸±à¸ à¸à¸±à¸à¸à¸±à¸à¸à¸ªà¸¹à¸à¸£
à¹.à¹à¸à¹à¹à¸à¸´à¸¡à¸à¸§à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸§à¸à¹à¸à¸²à¹à¸à¸´à¸à¸à¸²à¸à¸à¸¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸«à¸¡à¸à¹à¸²à¸ à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸«à¸¡à¸à¹à¸²à¸ à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸²à¸à¸£à¸à¸à¸µà¹à¹à¸«à¹à¹à¸«à¹à¸à¸à¹à¸²à¸¢ ๠วà¹à¸² à¸à¸§à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¸à¹à¹à¸à¸´à¸à¸à¸²à¸à¸à¸²à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¸µà¸à¸±à¹à¸à¹à¸à¸ หาà¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸«à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¹à¸¡à¹
à¹.à¹à¸à¹à¹à¸à¸´à¸¡à¸à¸§à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸²à¸§à¸£à¸£à¸à¸°à¸à¸±à¹à¸ ๠à¸à¸·à¸ à¸à¸©à¸±à¸à¸£à¸´à¸¢à¹ à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹ à¹à¸à¸¨à¸¢à¹ ศูà¸à¸£ à¸à¸±à¹à¸ à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¹à¸à¹à¸²à¸à¸±à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸à¸ªà¸¸à¸ à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸²à¸à¸£à¸à¸à¸µà¹à¸à¸±à¸à¸§à¹à¸² à¹à¸¡à¹à¸§à¹à¸²à¸à¸°à¸à¸¢à¸¹à¹à¹à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸°à¹à¸ หาà¸à¸à¸³à¸à¸±à¹à¸§à¸à¹à¸§à¸¢à¸à¸²à¸¢ วาà¸à¸² à¹à¸¥à¸°à¹à¸à¹à¸¥à¸°à¹à¸¡à¹à¸à¸µà¸à¸±à¹à¸ หาà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸¤à¸à¸´à¸à¸à¸à¸à¹à¸§à¸¢à¸à¸²à¸¢ วาà¸à¸² à¹à¸¥à¸°à¹à¸ à¸à¹à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸ à¹à¸¥à¸°à¸¢à¸´à¹à¸à¸«à¸¡à¸à¸ªà¸´à¹à¸à¸à¸´à¹à¸¥à¸ªà¹à¸à¹ à¸à¹à¸à¸°à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸à¸ªà¸¸à¸ หาà¹à¸à¹à¸à¸¢à¸¹à¹à¸à¸µà¹à¸à¸à¸à¸±à¹à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸°à¹à¸à¹à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¹à¸
à¹.à¹à¸à¹à¹à¸à¸´à¸¡à¸à¸§à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸¡à¹à¸à¹à¸²à¸à¸±à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸ à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸¸à¸à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¸£à¸±à¸ªà¸§à¹à¸² à¸à¸£à¸£à¸¡ à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸ à¹à¸£à¸µà¸¢à¸à¹à¸à¹à¸§à¹à¸²à¸à¸£à¸à¸à¸¶à¸à¸à¸²à¸à¹à¸à¸à¸¡à¸²à¸ªà¸¹à¹à¸à¸£à¸£à¸¡ à¹à¸¥à¸°à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸£à¸¡à¹à¸à¹à¸²à¸à¸±à¹à¸à¸à¸µà¹à¸à¸³à¹à¸«à¹à¸à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸ªà¸£à¸´à¸à¸ªà¸¸à¸à¹à¸à¹à¸à¹à¸§à¸¢à¸à¸²à¸£à¸à¸±à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸¡à¸£à¸°à¸à¸à¹à¸à¸£à¸ªà¸´à¸à¸à¸²
à¹.à¸à¸§à¸à¸à¸£à¸²à¸«à¸¡à¸à¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¸§à¹à¸² à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸¡à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¸à¸¸à¸à¸ªà¸´à¹à¸à¸à¸¸à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸ à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸²à¸à¸£à¸±à¸ªà¸§à¹à¸² à¹à¸¥à¸à¸¡à¸µà¸§à¸´à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸£à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸±à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸à¹à¸² ๠หามีà¸à¸¹à¹à¹à¸à¸ªà¸£à¹à¸²à¸à¸à¸¶à¹à¸à¹à¸¡à¹ à¸à¸±à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¸¡à¸«à¸±à¸¨à¸à¸£à¸£à¸¢à¹à¸à¸à¸à¸à¸£à¸°à¸ªà¸¹à¸à¸£à¸à¸µà¹ à¸à¸µà¹à¸à¸¥à¹à¸²à¸§à¸à¸¶à¸à¸§à¸´à¸§à¸±à¸à¸à¸²à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¹à¸¥à¸ หรืà¸à¹à¸£à¸µà¸¢à¸à¹à¸«à¹à¸à¸±à¸à¸ªà¸¡à¸±à¸¢à¸§à¹à¸² à¸à¸±à¸à¸£à¸§à¸²à¸¥à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²
2007-11-07 02:04:33
·
answer #4
·
answered by John 4
·
0⤊
0⤋
โลก (Earth) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สาม โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานนัก ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำเนิดตามมา สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองโลกในปัจจุบันนี้คือมนุษย์
โลก มีลักษณะเป็นทรงวงรี โดย ในแนวดิ่งเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน ยาว 12,755 กม. ต่างกัน 44 กม. มีพื้นน้ำ 3 ส่วน หรือ 71% และมีพื้นดิน 1 ส่วน หรือ 29 % แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา
ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบันกล่าวว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากการยุบตัวลงของกลุ่มฝุ่นและแก๊ส พร้อมๆ กับการก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ที่ใจกลาง ดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถมองเห็นได้เนื่องจากพื้นผิวสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะมีดาวบริวารโคจรรอบ ยกเว้นดาวพุธและดาวศุกร์ และสามารถพบระบบวงแหวนได้ในดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน มีเพียงดาวเสาร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นวงแหวนได้ชัดเจนด้วยกล้องโทรทรรศน์
คำถามนี้ทำให้รู้เพิ่มขึ้น ดีจังเลย
2007-11-07 00:04:26
·
answer #5
·
answered by Anonymous
·
0⤊
0⤋